สินค้า

ตู้สาขาโทรศัพท์ เครื่องสแกนนิ้วมือ เครื่องสแกนใบหน้า เครื่องสแกนระบบการ์ด เครื่องอ่านการ์ด กล้องวงจรปิด AVTECH กล้องวงจรปิด Hi-View กล้องวงจรปิด Hikvision กล้องวงจรปิด INNEKT กล้องวงจรปิด dahua กล้องวงจรปิด FUJIKO กล้องวงจรปิด KENPRO กล้องจรปิด Panasonic กล้องติดรถยนต์ โปรแกรมสแกนไวรัสลิขสิทธิ์แท้ ระบบ WiFi Internet สัญญาณกันขโมยบ้าน / ออฟฟิศ เครื่องสำรองไฟฟ้า ป้ายโฆษณา LED (ขาย-ให้เช่า) ป้ายไฟวิ่ง แผงไม้กั้นประตู หมู่บ้าน ,ทางเข้า ทางออก Car Parking System Video Door Phone Wirelss Video Door Phone Digital Door Lock งานเข้าหัวไฟเบอร์ ออฟติค Video Conference ประตูรีโมท ประตูบานเลื่อนอัตโนมัติ (Auto door) ประตูอัตโนมัติ (Folding Gate) ระบบแจ้งเตือนเพลิงไหม้ (fire alarm) อุปกรณ์ดับเพลิง อุปกรณ์ความปลอดภัยส่วนบุคคล ตู้เซฟ HomeXpert รั้วไฟฟ้า ระบบห้องประชุม ระบบ POS Network accessories ประตูรีโมทเลื่อน ประตูรีโมทสวิง ประตูยืดอัตโนมัติ ประตูปีกผีเสื้อ แขนกั้นรถอัตโนมัติ เครื่องตรวจอาวุธ ประตูอัตโนมัติ ประตูโรงรถ เสากั้นการบุกรุก กลอนประตูดิจิตอล เครื่องอ่านการ์ดเปิด-ปิดไฟ วิดีโอ คอนเฟอเร็นซ์ นาฬิกายาม FIber Optic Accessries RACK 19" LAN CABLE ระบบประตูกั้นทางเดิน New Product

List All Products

จำนวนผู้เข้าชม

/home/allsulu/domains/allsolutionstech.com/public_html/administrator/components/com_vvisit_counter/helpersPlease reinstall [Vinaora Visitors Counter] component53
ชี้ชัดกันทางกฎหมาย “ภาพในกล้องวงจรปิดใช้เป็นหลักฐานได้หรือไม่” PDF Print E-mail
Written by super admin   
Monday, 16 April 2018 20:41

ชี้ชัดกันทางกฎหมาย “ภาพในกล้องวงจรปิดใช้เป็นหลักฐานได้หรือไม่”

 

 

สำหรับธุรกิจร้านค้าโดยทั่วไป ประเด็นหลักในการลงทุนเสียค่าใช้จ่ายเพื่อติดตั้งกล้องวงจรปิด น่าจะมีด้วยกันหลักๆ อยู่ด้วยกันสามประเด็นใหญ่ๆ ก็คือ

  1. ติดตั้งกล้องวงจรปิดไว้เพื่อเฝ้ามองการทำงานพนักงานตามจุดต่างๆ ว่าสามารถทำงานได้ตามหน้าที่ที่วางไว้หรือไม่ หรือมีการแอบซ่อนไม่ปฏิบัติหน้าที่ตามได้รับมอบหมายหรือไม่
  2. เฝ้ามองทรัพย์สินไม่ให้โดนทำลายหรือ ป้องกันพวกมือบอนไม่ให้นำสเปรย์สีมาพ่นตามจุดต่างๆที่ไม่มีเจ้าหน้าที่เฝ้าระวังอยู่
  3. ติดตั้งกล้องวงจรปิดไว้เพื่อเฝ้าระวังเพื่อลดอัตราการขโมยทรัพย์สินและสินค้าภายในร้านค้า หรือเปรียบเสมือนเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยอีกคนที่เฝ้ามองร้านค้าของคุณอยู่ตลอด 24 ชั่วโมงนั่นเอง

โดยปกติของการเกินการก่อโจรกรรมมักจะสัมผัสกับกิจวัตรประจำวันของร้านค้าและธุรกิจนั้นๆ ซึ่งรวมไปถึงบ้านพักอาศัยเช่นเดียวกัน ปัจจัยเรื่องก็คือ “เรื่องของเวลาการทำงานและการเข้าออกของผู้คนภายในร้านค้า” ซึ่งแน่นอนว่าหากมัวแต่พึ่งหน่วยงานของภาครัฐก็คงจะไม่ดีแน่เพราะค่อนข้างยากที่เจ้าหน้าที่ตำรวจจะตรวจตราและเฝ้าระวังให้เราได้ตลอดทั้งวันทั้งคืน “การติดกล้องวงจรปิด” ถือเป็นการป้องกันตนเองที่มีประสิทธิภาพและประสิทธิผลเอาเสียมากๆ

จากข้อมูลเบื้องต้นของกรมตำรวจได้ระบุไว้ว่าสำหรับการก่อโจรกรรมในประเทศไทยของเรานั้น “เหล่าโจรจะเลือกร้านค้าหรือบ้านที่ค่อนข้างเป็นส่วนตัวเป็นอันดับแรก และโจรจะเลือกเข้าทางประตูมากถึง 34 เปอร์เซ็น เข้าทางหน้าต่าง 23 เปอร์เซ็น และประตูหลังบ้าน 22 เปอร์เซ็น (ทั้งหมดนี้เป็นตำแหน่งที่ควรจะวางกล้องวงจรปิดเอาไว้มากที่สุดตามคำแนะนำของกรมตำรวจ)” และแทบจะน้อยมากสำหรับโจรที่จะเลือกปีนขึ้นไปยังชั้นอื่นๆเพื่อหลบเลี่ยงตา เพราะค่อนข้างเสียเวลามาก

มีอีกหนึ่งสถิติที่ค่อนข้างจะแตกต่างกับประเทศอื่นอยู่พอสมควรก็คือ โจรบ้านเราจะเลือกเข้าบ้านที่มีรั้วรอบขอบชิดและสูงถึงแม้จะเสียเวลาในการเข้าก็ตาม แต่กลับมองจุดนี้เป็นข้อดีในการปิดบังการโจรกรรมของตนเองจากสายตาคนภายนอกได้อย่างดี

 

 

 

 

ตัวเลขที่น่าสนใจมากอีกตัวหนึ่งก็เลยทีเดียวสำหรับ “ธุรกิจหน้าร้านที่มีการติดตั้งกล้องวงจรปิดเอาไว้รอบร้าน หรือในตำแหน่งที่สามารถสังเกตได้ชัด จะสามารถช่วยลดการโจรกรรมได้มากขึ้นหลายเปอร์เซ็นเมื่อเทียบกันกับร้านค้าที่มีเพียงเจ้าหน้าที่รักษาความภัยเฝ้าอยู่”

แต่หากจนแล้วจนรอดเกิดการโจรกรรมขึ้นมา ผู้ร้ายน่าจะใช้เวลาประมาณ 8-15 นาทีในการขโมยทรัพย์สินเท่าที่ทำได้ แต่จะไม่เลือกสิ่งของที่มีขนาดใหญ่มากเพราะจะเป็นปัญหาสำหรับการขนย้ายและเป็นที่สังเกตของคนภายนอกได้ง่าย นั่นหมายถึงว่า “หากมีกล้องวงจรปิดติดตั้งเอาไว้ในพื้นที่ที่เหมาะสม เช่นเส้นทางเข้าออก บริเวณรอบข้าง และที่ตั้งของทรัพย์สิน” ก็จะสามารถบันทึกภาพของโจรผู้ร้ายได้อย่างแม่นยำ “แต่ขอแนะนำกันในจุดนี้เสียก่อนว่า ในขั้นตอนการติดตั้งกล้องวงจรปิดนั้นควรคำนึงถึงสถานที่ของตนเองให้ถี่ถ้วน ทั้งเรื่องของแสง มุมกล้อง และขนาดของพื้นที่ เพราะการเลือกคุณภาพของกล้องวงจรปิดเป็นสิ่งสำคัญที่จะเห็นผลตอนที่นำภาพที่ถูกบันทึกเหล่านี้มาเป็นหลักฐานประกอบการแจ้งความ หรือค้นหาความจริงกันต่อไป”

จากข้อมูลเบื้องต้นจากฝ่ายสืบสวนตำรวจไทยได้ให้ข้อมูลไว้ว่า กล้องวงจรปิดสามารถนำมาใช้เป็นหลักฐาน พยานปากเอกได้อย่างดีเลยทีเดียว ถือว่าเป็นวัตถุพยานที่ใช้ในการหาข้อเท็จจริง และสามารถพิสูจน์ได้หรือไม่นั้นก็ขึ้นอยู่กับภาพในกล้องวงจรปิดว่ามีการกระทำนั้นๆชัดเจนเพียงใด

แต่อีกแง่มุมหนึ่งในการใช้ภาพวงจรปิดไปเผยแพร่ต่อสาธารณชน โดยไม่ได้รับอนุญาตและไม่สมควรถือว่าเป็นการกระทำความผิดฐานล่วงละเมิดสิทธิส่วนบุคคลได้เช่นเดียวกัน ซึ่งการกระทำเช่นนี้เจ้าทุกข์ก็สามารถเอาผิดผู้เผยแพร่ตามกฎหมายได้เช่นเดียวกัน

หากต้องใช้ภาพในกล้องวงจรปิดเป็นหลักฐานควรทำอย่างไร ?

  1. เตรียมภาพเคลื่อนไหวในกล้องวงจรปิด ในช่วงที่ต้องการเป็นหลักฐานเอาไว้ให้ดี(รวมถึงภาพเต็มด้วย) ที่สำคัญจะต้องเป็นภาพที่เคลื่อนไหวได้ เพราะถือว่าเป็นหลักฐานที่ยังไม่มีการปรับแต่งและดัดแปลงใดๆทั้งสิ้น
  2. แคปเจอร์ภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นภาพนิ่ง ชอตต่อชอต เรื่องลำดับให้ถูกต้องเพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือในหลักฐานที่เตรียมเอาไว้ โดยห้ามมีการพลิกแพลงหรือปรับแต่งใดๆทั้งสิ้นเพราะถือว่ามีเจตนาที่ไม่ดีทันที
  3. นำเอกสารทั้งหมดลงซองบรรจุอย่างมิดชิดก่อนจะทำร่วมลงนามด้วย ทำการรับรองเอกสารให้ถูกต้อง ป.วิ.อาญา ม.๙ ทุกกระบวนความ เพื่อใช้ทั้งหมดเป็นการประกอบพยานหลักฐานในชั้นศาลต่อไป
  4. ที่สำคัญมากๆ ก็คือการพูดคุยกับเจ้าหน้าที่ตำรวจหรืออัยการให้เข้าใจตรงกันว่า เราประสงค์จะนำหลักฐานจากกล้องวงจรปิดเพื่อประกอบการพิจารณาคดีในชั้นศาล หรือขั้นตอนการสืบสวน
“ชี้ชัดกันไปตามกฎหมายเรียบร้อยว่า หลักฐานที่ได้จากกล้องวงจรปิดสามารถใช้เพื่อค้นหาความจริง เพื่อประกอบคดีความได้จริงและถือว่าเป็นหลักฐานชิ้นสำคัญเอาเสียด้วย” ประเด็นสำคัญที่ห้ามลืมนึกถึงเลยก็คือ ความสามารถของระบบกล้องวงจรปิดที่จะต้องตอบโจทย์ข้อนี้ให้ได้ด้วยเช่นกัน หากมีเพียงภาพที่ไร้คุณภาพจากกล้องคุณภาพต่ำ เห็นเพียงภาพเงาคนดำเคลื่อนที่ไปมา ก็ยากมากที่จะระบุได้ว่าคนคนนั้นเป็นใคร และก็ยากมากเช่นเดียวกันที่จะนำไปประกอบหลักฐานในชั้นศาล

Last Updated on Monday, 16 April 2018 21:33
 

เว็บไซต์ของเราใช้คุกกี้เพื่อมอบประสบการณ์การท่องเว็บและข้อมูลที่เกี่ยวข้อง ก่อนใช้งานเว็บไซต์ของเราต่อไป คุณตกลงและยอมรับ Cookie Policy & Privacy.