ข้อดีของการใช้ลายนิ้วมือในการระบบตัวบุคคล |
Thursday, 02 February 2012 13:25 |
ข้อดีของการใช้ลายนิ้วมือในการระบบตัวบุคคล
ลายนิ้วมือของแต่ละคนจะเริ่มปรากฏขึ้นตั้งแต่เป็นตัวอ่อนอายุ 3 ถึง 4 เดือนในครรภ์มารดา ซึ่งเป็นผิวหนังส่วนที่มีสัน (Ridge) และมีร่อง (Furrow) เอาไว้ใช้สำหรับอำนวยความสะดวกในการหยิบจับสิ่งของ สันและร่องที่ปรากฏนี้ จะมีคุณลักษณะที่สำคัญ 2 ประการคือ
1. ไม่มีการเปลี่ยนแปลงรูปแบบตามกาลเวลา (แต่อาจจะเปลี่ยนขนาดได้)
ลายนิ้วมือจะไม่เปลี่ยนแปลงรูปแบบ (Permanence) ตั้งแต่แรกเกิดจนถึงกระทั่งวันที่เราตาย แต่ก็อาจจะเปลี่ยนแปลงขนาดได้ตามขนาดของร่างกาย
2. มีรูปแบบเฉพาะในแต่ละบุคคล การที่ลายนิ้วมือมีรูปแบบเฉพาะในแต่ละบุคคล (Individuality) เป็นคุณสมบัติที่สำคัญอย่างหนึ่งของลายนิ้วมือ นับตั้งแต่เริ่มมีการใช้เก็บและเปรียบเทียบลายนิ้วมือโดยวิธีสมัยใหม่ ซึ่งมีมาร้อยกว่าปีแล้ว ยังไม่มีการตรวจพบว่ามีการเหมือนกันของลายนิ้วมือ
ลายนิ้วมือของแต่ละคนนั้นจะมีลักษณะเฉพาะมากจนกระทั่งแม้แต่ (Identical Twin) ก็ยังมีลายนิ้วมือที่แตกต่างกัน (แต่มีรูปแบบ DNA ที่เหมือนกัน) อย่างไรก็ตามรูปแบบของลายนิ้วมือ นั้นก็จะมีลักษณะการคล้ายกันของคนในครอบครัว หรือพูดได้อีกอย่างหนึ่งว่า รูปแบบของลายนิ้วมือมีการถ่ายทอดกันทางพันธุกรรม
การตรวจสอบลายนิ้วมือโดยใช้คอมพิวเตอร์ ตรวจสอบลักษณะของสัน (Ridge) ตัวอย่างอุปกรณ์ที่ใช้ในการทำงานด้วยการสแกนลายนิ้วมือ (Fingerprint Scanner) อุปกรณ์สแกนลายนิ้วมือ ในปัจจุบันจะมีราคาถูกลงมาก และก็มีแนวโน้มว่าจะมีราคาลดลงอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้เนื่องมาจากความแพร่หลาย และการประยุกต์ใช้ลายนิ้วมือกันในงานด้านต่างๆมากขึ้น ส่วนราคาของเครื่องสแกนลายนิ้วมือในปัจจุบันก็จะมีราคาตั้งแต่ 10,000 - 30,000 บาท ขึ้นอยู่กับจำนวนของการรองรับลายนิ้วมือ ในการใช้งานของอุปกรณ์
หากคุณกำลังมองหาเครื่องสแกนลายนิ้วมือ เพื่อหวังว่าระบบนี้จะช่วยลดปัญหาการลงเวลาแทนกัน และค่าใช้จ่ายต่างๆของคุณลงไปได้ คุณคิดได้ถูกต้องแล้วครับ แต่ยังมีผู้ใช้จำนวนมากซึ่งใช้ระบบนี้ไปแล้วไม่ได้ผลอย่างที่คาดหวังเอาไว้ แทนที่จะช่วยลดเวลา, การทุจริตในการทำงาน และค่าใช้จ่าย แต่กลับหลายเป็นการเพิ่มปัญหาต่างๆ ตามมามากมายไม่เว้นแต่ละวัน เนื่องจากเครื่องสแกนลายนิ้วมือ ที่มีวางจำหน่ายทั่วไปเป็นเทคโนโลยีที่ใช้เทคนิคทางการประมวลผลแบบ Digital Image Processing ขั้นสูง ซึ่งการที่เราจะทราบได้ว่าลายนิ้วมือที่เรานำมาตรวจสอบนั้น คือ บุคคลใดในจำนวนลายนิ้วมือหลายๆ ร้อย หลายๆ พันคน ดังนั้นผู้ใช้จะพบปัญหาบ่อยครั้ง ในเรื่องของการที่คนๆหนึ่งมาสแกนแต่กลับกลายไปขึ้นชื่อของพนักงานอีกคนหนึ่ง หรือสแกนแล้วแต่เครื่องไม่อ่านอันเนื่องมาจาก เครื่องสแกนลายนิ้วมือมีคุณภาพต่ำ ปัญหาที่พบของผู้ใช้เครื่องสแกนลายนิ้วมือหลายราย คือ แทนที่การซื้อเครื่องสแกนลายนิ้วมือไปแล้ว จะเป็นการลงทุนเพียงแค่ครั้งเดียว โดยไม่ต้องมีค่าใช้จ่ายเรื่องอื่นตามมาอีก แต่เมื่อนำมาใช้กลับต้องมีค่าใช้จ่ายหมุนเวียนตามมาตลอด จากตัวหัวอ่านที่มีความทนทานต่ำ เช่น พวกหัวอ่านที่เป็นประเภทพลาสติกโพลีเมอร์
ในระบบเครื่องสแกนลายนิ้วมือ ส่วนหัวอ่านจะเป็นส่วนที่ได้รับการสัมผัสตลอดเวลา ดังนั้น หน้าเลนส์ จึงเป็นส่วนที่สำคัญมากในการใช้งาน หน้าเลนส์ แบบพวกวัสดุ ตระกูลโพลีเมอร์จะเป็นลักษณะคล้ายๆยาง เมื่อเกิดคราบสกปรกสะสมเราไม่สามารถทำความสะอาดได้ด้วยการเช็ดธรรมดา หรืออีกประการหนึ่ง คือหน้าเลนส์ไม่สามารถทนต่อการขีดข่วนจากของแข็ง หรือของมีคมได้ และถ้าเป็นการใช้งานกับผู้ใช้ที่นิ้วมือมีคราบเคมี หรือเลอะน้ำมัน เช่น งานโรงงาน หรือไซต์งานก่อสร้าง เลนส์หน้าสัมผัสจำพวกโพลีเมอร์นั้น จะถูกกัดจนบวม และลอกออกมา ซึ่งเป็นผลทำให้เครื่องสแกนลายนิ้วมือไม่สามารถทำการสแกนได้ อีกประการหนึ่ง คือประเภทอ่านค่าความจุไฟฟ้าของลายนิ้วมือ หรือตระกูล Silicon Sensor การทำงานคือ เมื่อนำนิ้วมือไปสัมผัสกับหน้าเลนส์ที่เป็นโลหะ โดยตรงจะเกิดการถ่ายเทประจุผ่าน ลายนิ้วมือของเราเพื่อเก็บเป็นข้อมูล หัวอ่านประเภทนี้จะเกิดคราบสกปรกสะสม และเกิดรอยขีดข่วนได้ง่าย เป็นเหตุให้ต้องทำการซ่อมและเปลี่ยนหน้าเลนส์กันบ่อยๆ
สำหรับหัวอ่านที่ดีของเครื่องสแกนลายนิ้วมือ ควรเลือกใช้ที่เป็นแบบ Optical และ Optical CMOS หรือ URU4000 Sensor เพราะวัสดุหน้าเลนส์ของหัวอ่านพวกนี้จะทำจากแฟ่นกระจกเคลือบอย่างดี จะป้องกันคราบสกปรกได้ดี และยังป้องกันการขูดขีดจากของแข็งได้เป็นอย่างดี มีความคาดเคลื่อนในการอ่านลายนิ้วมือน้อยมาก
การเลือกซื้อเครื่องสแกนลายนิ้วมือสามารถแบ่งออกเป็นข้อๆได้ดังนี้
1. หัวอ่าน (Sensor) ว่าสินค้านั้นใช้หัวอ่านแบบไหน?
2. ความเร็วในการอ่านลายนิ้วมือ และใช้เทคโนโลยีใดในการอ่าน
3. จำนวนลายนิ้วมือที่รองรับ และหน่วยความจำในการบันทึกการใช้งานของเครื่อง
4. วัสดุที่ใช้ในการผลิตอุปกรณ์ ว่าแข็งแรงทนทานหรือไม่
5. ส่วนของ Software ดูว่ามีฟังชั่นการใช้งานดีและยืดหยุดหรือไม่
6. สินค้านั้นผลิตจากโรงงานที่ได้มาตรฐาน ISO หรือไม่
7. สินค้าได้ผ่านการทดสอบและได้รับการรับรองมาตรฐานจากสถาบันรับรองมาตรฐาน หรือไม่ (มาตรฐานที่ทั่วโลกให้การยอมรับด้วยดีก็ เช่น UL, FC, CE, LPS เป็นต้น)
8. คุณอย่าตัดสินใจที่ราคาเพียงอย่างเดียว เพราะสินค้าราคาถูกยังคงมีอะไรแอบแฝงอีกเยอะ คุณควรพิจารณาจาก
- Performance = คุณสมบัติการทำงานของตัวสินค้า
- Location Area = ระยะทางของบริษัทผู้ขาย กับสถานที่ๆ เราจะซื้อสินค้ามาติดตั้ง
- Profile = ประสบการณ์และการชำนาญของบริษัทผู้ขาย
- Warranty = การรับประกันตัวอุปกรณ์สินค้า และระบบ
- After Sale Service = การบริการหลังการขาย ของบริษัทผู้ขาย
- Price = ราคาสินค้าที่เหมาะสม ของภาพรวมสินค้าทุกๆ ข้อที่กล่าวมา
|
Last Updated on Monday, 24 September 2012 16:59 |